วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555


ทฤษฎีดนตรีเบื้องต้นสำหรับกีตาร์ว่าด้วย Scale และ Mode


Scale และ Mode
    Scale
            ทฤษฎีพื้นฐานที่จำเป็นมากในขั้นแรกนี้คือเรื่องของการไล่เสียงหรือบันไดเสียงหรือ scale นั่นเอง โดยการนำตัวโน๊ตต่าง ๆ มาไล่เรียงกันไป และสเกลพื้นฐานที่เราควรรู้จักคือ
        1. Diatonic Scale ซึ่งเป็นการเรียงโน๊ตจากตัวหนึ่งตามชื่อไปจนครบ 8 ตัวซึ่งก็คือตัวเดียวกับตัวที่ 1 นั่นเองแต่สูงกว่า 1 octave หรือเรียกว่าคู่ 8 ซึ่งเป็นสเกลมาตรฐานซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นสเกลเมเจอร์ และไมเนอร์ เป็นต้น ซึ่งจะมีความห่างของโน๊ตไม่สม่ำเสมอ เช่นบางคู่ห่างกันครึ่งเสียง บางคู่ห่างกัน 1 เสียง เป็นต้น ลองดูตัวอย่าง ของ C เมเจอร์สเกลและ A ไมเนอร์สเกลนะครับ
cmaj.gif (2985 bytes)
aeolian.gif (1485 bytes)
        2. Whole Tone Scale เป็นสเกลหรือบันไดเสียงที่มีการไล่เสียงโดยให้โน๊ตแต่ละตัวมีความห่างกัน 1 เสียงเต็ม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการนำเครื่องหมายชาร์ป และแฟล็ทมาใช้ในการบังคับให้โน๊ตมีความห่าง 1 เสียงเต็ม ถ้าเทียบบนคอกีตาร์คือคุณไล่สเกลโดยกดนิ้วข้ามช่องเว้นช่องไปเรื่อย ๆ (เนื่องจากครึ่งเสียง=1 ช่องเฟร็ต และ 2 ช่องเฟร็ต=1เสียงเต็ม) ลองดู C โฮลโทนสเกล นะครับ
wholesc.gif (1213 bytes)
        3. Cromatic Scale คล้ายกับ whole tone scale แต่ช่วงห่างของเสียงของโน๊ตแต่ละตัวจะเป็นครึ่งเสียงแทน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการใช้เครื่องหมายชาร์ปและแฟล็ทในการควบคุมโน๊ตเช่นกัน หรือคือการไล่สเกลบนคอกีตาร์โดยการกดไล่ในทุก ๆ ช่องเฟร็ต ( 1 ช่องเฟร็ต=ครึ่งเสียง) ข้างล่างนี้เป็นตัวอย่างของ C โครมาติคสเกล
chromscl.gif (1379 bytes)
            Mode
            ผมจะอธิบายแบบง่าย ๆ เลยนะครับจะได้ไม่สับสน "โหมด" ในทางดนตรีก็คือการเรียงลำดับของโน๊ตในสเกลไดอะโทนิคใหม่ หรือพูดอีกทีคือ สเกลเดิมแต่เปลี่ยนโน๊ตที่ขึ้นต้นใหม่เช่นนำโน๊ตตัวที่ 2 ของสเกลมาเป็นตัวขึ้นต้นจากนั้นก็ไล่ต่อไปเป็น 3, 4, 5, 6, 7, 1และจบที่ 2 (ครบ 8 ตัวหรือ 1 octave) นี่คือ โหมดที่ 2 ต่อไปนำโน๊ตตัวที่ 3 มาขึ้นต้น แล้วไล่ใหม่เช่นเดิมเป็น ขึ้นด้วยโน๊ตตัวที่ 3 และตามด้วย 4, 5, 6, 7, 1, 2 และจบที่ 3 (ครบ 1 octave) ดังนั้นเราจะพบว่าเราสามารถสร้างโหมดได้ 7 โหมด ต่อไปเรามาดูชื่อของแต่ละโหมดดู ผมจะใช้ C เมเจอร์สเกลเป็นตัวอธิบายนะครับเพราะเป็นสเกลพื้นฐานที่ง่ายที่สุดและไม่มีเครื่องหมายชาร์ปหรือแฟล็ท (ศึกษารายละเอียดเรื่องสเกลเมเจอร์ได้ในเรื่อง major scale  และ mode
ลักษณะของ Mode ต่าง ๆ
รายละเอียดของ Mode ต่าง ๆ
ionion.gif (2419 bytes)
โหมดที่ 1 เรียกว่า "ไอโอเนียน" ก็คือเมเจอร์สเกลนั่นเอง คือ เริ่มและจบลงด้วยโน๊ตตัวแรกของสเกล การใช้ก็จะเหมือนกับเมเจอร์สเกล
dorian.gif (2390 bytes)
โหมดที่ 2 เรียกว่า "โดเรียน" ได้จากการเริ่มและจบลงด้วยโน๊ตตัวที่ 2 ของสเกลเมเจอร์ ก็คือ D ในสเกล C เมเจอร์
phrygian.gif (2412 bytes)
โหมดที่ 3 เรียกว่า "ฟริเจียน" ได้จากการเริ่มและจบลงด้วยโน๊ตตัวที่ 3 ของสเกลเมเจอร์ ก็คือ E ในสเกล C เมเจอร์
lydian.gif (2398 bytes)
โหมดที่ 4 เรียกว่า "ลิเดียน" ได้จากการเริ่มและจบลงด้วยโน๊ตตัวที่ 4 ของสเกลเมเจอร์ ก็คือ F ในสเกล C เมเจอร์
mixolydian.gif (2445 bytes)
โหมดที่ 5 เรียกว่า "มิกโซลิเดียน" ได้จากการเริ่มและจบลงด้วยโน๊ตตัวที่ 5 ของสเกลเมเจอร์ ก็คือ G ในสเกล C เมเจอร์
aeolian.gif (2390 bytes)
โหมดที่ 6 เรียกว่า "เอโอเลียน" ได้จากการเริ่มและจบลงด้วยโน๊ตตัวที่ 6 ของสเกลเมเจอร์ ก็คือ A ในสเกล C เมเจอร์
locrian.gif (2397 bytes)
โหมดที่ 7 เรียกว่า "โลเครียน" ได้จากการเริ่มและจบลงด้วยโน๊ตตัวที่ 6 ของสเกลเมเจอร์ ก็คือ B ในสเกล C เมเจอร์
            ตอนนี้คุณคงจะรู้จักกับ Mode มากขึ้นแล้วนะครับ แล้วต่อไปคุณจะเข้าใจมันมากขึ้นระหว่างความสัมพันธ์ของ Mode และ Scale เอาล่ะครับต่อไปเราไปดูรายละเอียดในเรื่องของเมเจอร์สเกลและสเกลอื่น ๆ รวมทั้งโหมดของสเกลต่าง ๆ เหล่านั้นกันเลย

            Major Scale เป็นสเกลพื้นฐานที่สำคัญและเป็นแม่แบบของสเกลอื่น ๆ อีกหลายชนิดเช่น ไมเนอร์ เพนตาโทนิค เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่สร้างมาจากสเกลเมเจอร์
            สเกลเมเจอร์เกิดจากการเลียนการออกเสียงตามธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้นจะเห็นว่าการไล่เสียงในสเกลเมเจอร์จะเป็นธรรมชาติมากในความรู้สึกเวลาเราออกเสียง มีลักษณะเสียงที่ชัดเจน มั่นคง แต่มีความสดใส เบิกบานแฝงอยู่ จึงถือว่าเป็นสเกลพื้นฐานของดนตรี   ต่อมาเรามารู้จักโครงสร้างของสเกลเมเจอร์กันเลยนะครับ
            ผมจะใช้ C เมเจอร์สเกลในการอธิบายนะครับ โดยการไล่เป็น Diatonic scale คือเริ่มที่ C และจบที่ C ในอีก octave หนึ่งการไล่เสียงของ C ลองมาดูโครงสร้างของ C เมเจอร์สเกลดู
 cmaj1.gif (3764 bytes)
cmaj2.gif (4060 bytes)
ดังนั้นจะสรุปง่าย ๆ ได้ดังตารางนี้
ลำดับขั้นของโน๊ตในสเกลชื่อของแต่ละลำดับขั้นความห่างของเสียงขั้นคู่เสียง(Interval)
1stTonic-ขั้นคู่ 1 (enharmonic)
2ndSupertonic1 เสียงขั้นคู่ 2
3rdMediant1 เสียงขั้นคู่ 3
4thSubdominant1/2 เสียงขั้นคู่ 4
5thDominant1 เสียงขั้นคู่ 5
6thSubmediant1 เสียงขั้นคู่ 6
7thLeading Note1 เสียงขั้นคู่ 7
8thTonic1/2 เสียงขั้นคู่ 8 (octave)
          ซึ่งข้อควรสังเกตที่สำคัญที่สุดคือะยะห่างระหว่างเสียงของโน๊ตคู่ระหว่างตัวที่ 3 กับ 4 และคู่ระหว่างตัวที่ 7 กับ 8 มีค่าเป็นครึ่งเสียง ในขณะที่คู่อื่น ๆ จะเต็มเสียงทั้งหมด และนี่คือโครงสร้างหลักของสเกลเมเจอร์ คราวนี้ถ้าเป็นสเกลอื่น ๆ บ้างล่ะ เราลองมาดู สเกล D เมเจอร์ดูบ้าง ซึ่งโน๊ตราก(root) หรือ Tonic จะต้องเป็น D แล้วจะเป็นอย่างไรเราลองมาจัดสเกลดูโดยเลียนแบบ C เมเจอร์ดูนะครับ จะได้ว่า
ลำดับที่12345678
โน๊ตDEFGABCD
ระยะห่างของเสียง1 เสียง1/2 เสียง1 เสียง1 เสียง1 เสียง1/2   เสียง1 เสียง
            แต่จากหลักของเมเจอร์สเกลคือระยะห่างของเสียงระหว่างโน๊ตตัวที่ 3 กับ 4 และ 7 กับ 8 ต้องมีค่าเป็น 1/2 เสียง ในขณะที่คู่อื่น ๆ มีระยะห่างเป็น 1 เสียง แต่จากตารางข้างบนจะเห็นว่าระยะห่างครึ่งเสียงไปอยู่ระหว่างโน๊ตคู่ที่ 2 กับ 3 และ 6 กับ 7 ซึ่งไม่ตรงกับข้อกำหนดของสเกลเมเจอร์
            คราวนี้เราจะทำยังไงให้โน๊ตดังกล่าวเรียงกันตามหลักของสเกลเมเจอร์ ซึ่งเราจะต้องบังคับให้โน๊ตตัวที่ 3 กับ 4 และ 7 กับ 8 มีระยะห่าง 1/2 เสียง คุณลองย้อนไปถึงเรื่องของ Accidental คือเครื่องหมายชาร์ป, แฟล็ท และ เนเจอรัล ซึ่งสามารถลดหรือเพิ่มเสียงให้สูงขึ้หรือต่ำลงได้
            เอาล่ะครับคราวนี้เรามาดูว่าเราจะทำยังไงดีให้ได้สเกล D เมเจอร์ที่ถูกต้องโดยอาศัยเครื่องหมาย ชาร์ปและแฟล็ท
                1. ลองใส่เครื่องหมายชาร์ป;# ที่โน๊ตตัวที่ 3 คือ F เราจะได้ F# และมีผลให้โน๊ตตัวที่ 2 (E) และตัวที่ 3 (F#) ห่างกัน 1 เสียงเต็ม และโน๊ตตัวที่ 3 (F#) และ 4 (G) ห่างกัน 1/2 เสียง ซึ่งเป็นไปตามกฎของของสเกลเมเจอร์
                2. ต่อไปลองใส่เครื่องหมายชาร์ป;# ที่โน๊ตตัวที่ 7 คือ C เราจะได้ C# และมีผลให้โน๊ตตัวที่ 6 (B) และตัวที่ 7 (C#) ห่างกัน 1 เสียงเต็ม และโน๊ตตัวที่ 7 (C#) และ 8 (D) ห่างกัน 1/2 เสียง ซึ่งเป็นไปตามกฎของของสเกลเมเจอร์
                3. ตรวจสอบระยะห่างโน๊ตแต่ละตัวนั้นเป็นไปตามกฎของของสเกลเมเจอร์แล้วดังนั้นเราจะได้ D เมเจอร์สเกลคือ
ลำดับที่123*4567*8
โน๊ตDEF#GABC#D
ระยะห่างของเสียง1 เสียง1 เสียง1/2   เสียง1 เสียง1 เสียง1   เสียง1/2 เสียง
            สรุปว่าเราสามารถสร้าง D เมเจอร์สเกลได้โดยการเรียงโน๊ตเริ่มจาก D เป็นตัวแรกและจบที่ D โดยที่มีการบังคับตัวโน๊ตด้วยเครื่องหมาย # 2 ตัวคือโน๊ตตัวที่ 3 (F#) และตัวที่ 7 (C#) จึงทำให้เป็นไปตามฎของของสเกลเมเจอร์ และการบังคับนี้เป็นการบังคับถาวร ดังนั้นในการเขียนสเกลบนบรรทัด 5 เส้นจึงเขียนเครื่องหมาย # บนเส้นที่ 5 บังคับให้โน๊ตบนเส้นที่ 5 ซึ่งมีเสียง F กลายเป็น F# ทั้งหมด เช่นเดียวกับการกำหนด # ที่ช่องที่ 3 ของบรรทัด 5 เส้น ซึ่งมีเสียง C  ให้กลายเป็น C# ทั้งหมด ดังนั้นเราจะได้ D เมเจอร์สเกลที่สมบูรณ์ดังนี้
dmaj.gif (4168 bytes)
            ต่อไปลองมาดู F เมเจอร์สเกลดูบ้างนะครับ ด้วยวิธีเดียวกับการสร้างสเกล D เมเจอร์ เรามาเรียงโน๊ตในสเกลก่อนได้ว่า
ลำดับที่12345678
โน๊ตFGABCDEF
ระยะห่างของเสียง1 เสียง1 เสียง1 เสียง1/2 เสียง1 เสียง1  เสียง1/2 เสียง
            แต่จากหลักของเมเจอร์สเกลคือระยะห่างของเสียงระหว่างโน๊ตตัวที่ 3 กับ 4 และ 7 กับ 8 ต้องมีค่าเป็น 1/2 เสียง ในขณะที่คู่อื่น ๆ มีระยะห่างเป็น 1 เสียง แต่จากตารางข้างบนจะเห็นว่าระยะห่างครึ่งเสียงไปอยู่ระหว่างโน๊ตคู่ที่ 4 กับ 5 และ 7 กับ 8 ซึ่งคู่แรกไม่ตรงกับข้อกำหนดของสเกลเมเจอร์ แต่คู่หลังใช้ได้แล้ว
            ต่อไปเรามาดูที่โน๊ตตัวที่ 4 (B) ถ้าเราลดมันลงมา 1/2 เสียงได้จะทำให้มันห่างจากโน๊ตตัวที่ 3 (A) 1/2 เสียงและห่างจากโน๊ตตัวที่ 5 (C) เท่ากับ 1 เสียงพอดี ดังนั้นเราจึงเลือกให้ติดแฟล็ทที่โน๊ตตัวที่ 4 หรือ B จากนั้นเราลองเขียนใหม่ได้
ลำดับที่1234*5678
โน๊ตFGABbCDEF
ระยะห่างของเสียง1 เสียง1 เสียง1/2 เสียง1 เสียง1 เสียง1  เสียง1/2 เสียง
            ลองตรวจสอบระยะห่างของโน๊ตแต่ละตัว ซึ่งก็ตรงตามกำหนดของเมเจอร์สเกลแล้ว ดังนั้นเราจะพบว่าในการไล่สเกล F เมเจอร์จะต้องติดแฟล็ทที่โน๊ต B เสมอ จากนั้นเราลองมาเขียนบนบรรทัด 5 เส้นได้ว่า
fmaj.gif (4102 bytes)
            ด้วยหลักการเดียวกันนี้คุณสามารถสร้างสเกลอื่น ๆ ได้ทั้งทางชาร์ป (#) และทางแฟล็ท (b) แต่ผมจะไม่แสดงให้ดูทั้งหมดนะครับ คงจะสรุปให้ดูก็พอเพราะหลักการเดียวกันหมด สรุปเรื่องของการตั้งสเกลหรือบันไดเสียงนอกเหนือจาก C เมเจอร์สเกลซึ่งไม่ต้องมีการบังคับด้วยชาร์ปหรือแฟล็ทจะแบ่งเป็น 2 พวกคือ
            1. การตั้งสเกลทางชาร์ป ; # ที่นิยมใช้กันจะมี 7 สเกลดังนี้
จำนวนชาร์ป ; #ชื่อสเกลKey Signatureโน๊ตที่ติดชาร์ป
1 ชาร์ปG เมเจอร์สเกลmaj_g.gif (1105 bytes)F
2 ชาร์ปD เมเจอร์สเกลmaj_d.gif (1131 bytes)F, C
3 ชาร์ปA เมเจอร์สเกลmaj_a.gif (1210 bytes)F, C, G
4 ชาร์ปE เมเจอร์สเกลmaj_e.gif (1179 bytes)F, C, G, D
5 ชาร์ปB เมเจอร์สเกลmaj_b.gif (1211 bytes)F, C, G, D, A
6 ชาร์ปF# เมเจอร์สเกลmaj_fs.gif (1232 bytes)F, C, G, D, A, E
7 ชาร์ปC# เมเจอร์สเกลmaj_cs.gif (1279 bytes)F, C, G, D, A, E, B
            2. การตั้งสเกลทางแฟล็ท ; b ที่นิยมใช้กันจะมี 6 สเกลดังนี้
จำนวนแฟล็ท ; bชื่อสเกลKey Signatureโน๊ตที่ติดแฟล็ท
1 แฟล็ทF เมเจอร์สเกลmaj_f.gif (1094 bytes)B
2 แฟล็ทBb เมเจอร์สเกลmaj_bf.gif (1137 bytes)B, E
3 แฟล็ทEb เมเจอร์สเกลmaj_ef.gif (1120 bytes)B, E, A
4 แฟล็ทAb เมเจอร์สเกลmaj_af.gif (1171 bytes)B, E, A, D
5 แฟล็ทDb เมเจอร์สเกลmaj_df.gif (1189 bytes)B, E, A, D, G
6 แฟล็ทGb เมเจอร์สเกลmaj_gf.gif (1197 bytes)B, E, A, D, G, C
7 แฟล็ทCb เมเจอร์สเกลmaj_cf.gif (1231 bytes)B, E, A, D, G, C, F
ข้อสังเกต : การตั้งสเกลเมเจอร์ มีทั้งหมด 12 key
            1. C เมเจอร์สเกล เป็นสเกลมาตรฐานซึ่งไม่ต้องใช้ # หรือ b กำหนดใน Key Signature เป็นสเกลที่กำหนดมาเพื่อเป็นมาตรฐานในการไล่เสียง
            2. Key C# ตั้งสเกลทาง # และ Db ตั้งสเกลทาง b แต่เป็น key ที่เป็นเสียงเดียวกัน
            3. Key D เมเจอร์สเกล ใช้สเกลทาง # เท่านั้น
            4. Key Eb ตั้งสเกลทาง b เท่านั้น ส่วน Key D# ตั้งสเกลทาง # ไม่ได้
            5. Key E เมเจอร์สเกล ใช้สเกลทาง # เท่านั้น
            6. Key F เมเจอร์สเกล ใช้สเกลทาง b เท่านั้น
            7. Key F# และ Gb ตั้งสเกลทาง # หรือ b ก็ได้ แต่เป็นเสียงเดียวกัน
            8. Key G เมเจอร์สเกล ใช้สเกลทาง # เท่านั้น
            9. Key Ab ตั้งสเกลทาง b เท่านั้น ส่วน Key G# ตั้งสเกลทาง # ไม่ได้
            10. Key A เมเจอร์สเกล ใช้สเกลทาง # เท่านั้น
            11. Key Bb ตั้งสเกลทาง b เท่านั้น ส่วน Key A# ตั้งสเกลทาง # ไม่ได้
            12. Key B เมเจอร์สเกล ใช้สเกลทาง # เท่านั้น
            ต่อไปผมจะได้กล่าวถึง Mode ต่าง ๆ ในสเกลเมเจอร์ จากในหัวข้อเรื่อง Mode คุณได้รู้ถึง Mode ต่าง ๆ ของสเกล C เมเจอร์แล้ว ซึ่งใช้โน๊ตชุดเดียวกันทั้งหมดแต่จัดเรียงต่างกัน ต่อไปเรามาดูที่ D dorian mode หรือ mode ที่ 2 ของสเกล C เมเจอร์ ลองมาเทียบกับ D เมเจอร์สเกลดู
สำหรับ D dorian mode จะมีการไล่สเกลดังนี้
ลำดับที่12345678
โน๊ตDEFGABCD
ระยะห่างของเสียง1 เสียง1/2 เสียง1 เสียง1 เสียง1 เสียง1/2   เสียง1 เสียง
และสำหรับ D major จะมีการไล่สเกลดังนี้
ลำดับที่12345678
โน๊ตDEF#GABC#D
ระยะห่างของเสียง1 เสียง1 เสียง1/2   เสียง1 เสียง1 เสียง1   เสียง1/2 เสียง
        เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างสเกลและโหมดแล้ว จะเห็นว่าเพื่อที่จะแปลงจากสเกล D major ไปเป็น D dorian mode นั้นคุณจะต้องลดเสียงของโน๊ตตัวที่ 3 (F#) และโน๊ตตัวที่ 7 (C#) ของ D major สเกลลง 1/2 เสียง ทำให้โน๊ตตัวที่ 3 เป็น F   และตัวที่ 7 เป็น C ซึ่งจะตรงกับ D dorian mode ดังนั้นเราจะเห็นว่าสามารถแปลงจาก major สเกลเป็น dorian mode โดยการติดแฟล็ทที่โน๊ตตัวที่ 3 และ 7 ของเมเจอร์สเกลนั่นเองจึงสรุปเป็นสูตรได้ว่า
dorian mode : 1     2    b3    4    5     6    b7    8     เมื่อเทียบกับเมเจอร์สเกล เช่น A dorian mode จะประกอบด้วย
โน๊ตลำดับที่12345678
A mojor scaleABC#DEF#G#A
สูตรแปลง12b3456b78
A dorian modeABCDEF#GA
        และด้วยหลักการเดียวกันนี้คุณจะสามารถหาโหมดอื่น ๆ ของสเกลได้เช่นกัน ดังนั้นจึงสามารถสรุปสูตรของโหมดแต่ละโหมดได้ดังนี้
Modeชื่อ Modeสูตรแปลงจาก Major สเกล
Mode 1Ionian (major scale)1     2    3    4    5     6    7    8
Mode 2Dorian1     2    b3    4    5     6    b7    8
Mode 3Phrygian1     b2    b3    4    5     b6    b7    8
Mode 4Lydian1     2    3    #4    5     6    7    8
Mode 5Mixolydian1     2    3    4    5     6    b7    8
Mode 6Aeolian (natural minor)1     2    b3    4    5     b6    b7    8
Mode 7Locrian1     b2    b3    4    b5     b6    b7    8
            ต่อไปเรามาดู mode ต่าง ๆ ของ C นะครับโดยอาศัยสูตรแปลงจากตารางข้างบนนี้
Mode ต่าง ๆ ของ CNotation & Tablature
C Ionian Mode (หรือ C Major Scale)c-ionian.gif (2136 bytes)
C Dorian Mode (หรือ Bb เมเจอร์ขึ้นด้วยโน๊ตตัวที่ 2)c-dorian.gif (2085 bytes)
C Phrygian Mode (หรือ Ab เมเจอร์ขึ้นด้วยโน๊ตตัวที่ 3)c-phrygian.gif (2467 bytes)
C Lydian Mode (หรือ G เมเจอร์ขึ้นด้วยโน๊ตตัวที่ 4)c-lydian.gif (2332 bytes)
C Mixolydian Mode (หรือ F เมเจอร์ขึ้นด้วยโน๊ตตัวที่ 5)c-mixolydian.gif (2343 bytes)
C Aeolian Mode (หรือ Eb เมเจอร์ขึ้นด้วยโน๊ตตัวที่ 6)c-aeolian.gif (2419 bytes)
C Locrian Mode (หรือ Db เมเจอร์ขึ้นด้วยโน๊ตตัวที่ 7)c-locrian.gif (2489 bytes)
            ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่อง major scale และ mode ต่าง ๆ ของ major scale ซึ่งคงทำให้เพื่อน ๆ รู้จักกับมันมากขึ้น แต่จริง ๆ แล้วในเรื่องของ mode นั้นอาจจะไกลตัวไปนิดนึงสำหรับในการเล่นกีตาร์แบบเพื่อสนุกสนาน ไม่ได้เล่นอาชีพหรือแต่งเพลง อย่างไรก็ตามก็ไม่เสียหายที่จะรู้เอาไว้บ้างเผื่อในอนาคตเราอาจจะต้องการศึกษาสูงขึ้นหรือ อยากลองแต่งเพลงเองดูก็อาจจะได้นำเจ้าวัตถุดิบต่าง ๆ เหล่านี้มาใช้ก็ได้ ซึ่ง mode แต่ละ mode จะให้สำเนียงที่มีเอกลักษณ์ต่าง ๆ กันไปแล้วแต่คุณจะนำมาใช้

ประวัติวงดนตรี ซานตาน่า ( SANTANA)


วงดนตรี Santana ภายใต้การนำของ Carlos Santana ซึ่งเกิดเมื่อ 20 กรกฏาคม 1947 ที่ Autlan, Mexico


ประวัติและแรงบันดาลใจ
เมื่อ พูดถึงกีตาร์แนวร็อคนั้นก็เป็นไร้ข้อกังขาสำหรับคำที่ Eric Clapton กล่าวไว้ว่า Santana คือ "Soul Man#1" เป็นเวลานาน 30 ปีมาแล้วที่ Santana หาเลี้ยงชีพด้วยการคั้นโน้ตที่เต็มเปี่ยมด้วยวิญญาณออกมาคืนแล้วคืนเล่า เป็นผู้ที่รับแรงบันดาลใจมาจากมือกีตาร์อย่าง B.B. King, Wes Montgomery, Peter Green, Gabor Szabo และ Jimi Hendrex (รวมทั้งที่ไม่ใช่มือกีตาร์อย่างเช่น John Coltrane และ Miles Davis ด้วย) สไตล์ที่ Santana เล่นนั้นผสมผสานไปด้วย Latin rock ในแบบของเขาเอง, blues, jazz, pop, R&B และ fusion Santana แจ้งเกิดในงาน Woodstock ปี 1969 และเริ่มเก็บกวาดรางวัล platinum album ไปได้เป็นรางวัลแรกในประวัติศาสตร์วงการเพลงร็อคจากอัลบั้ม Santana (1969) และ Abraxas (1970) ด้วยเพลงสุดฮิตอย่าง "Oye Como Va" (แต่งโดย Tito Puente) และเพลง cover ของ Fleetwood Mac อย่าง "Black Magic Woman" Santana ได้รับความนิยมในการจัดแสดงคอนเสิร์ตในช่วงยุค 70s ในปี 1971 มือกีตาร์วัย 17 ปี ชื่อว่า Neal Schon (ต่อมาอยู่กับ Journey) ได้เข้ามาสมทบและปี 1973 Carlos ก็ได้บันทึกเสียงอัลบั้ม Love Devotion Surrender ที่โด่งดังกับดาวเด่นแห่งวงการ fusion อย่าง John McLaughlin ในปี 1977 Santana ก็ได้ส่งผลงาน set กึ่งสตูดิโอกึ่งแสดงสดชิ้นคลาสสิค Moonflower ออกมา ซึ่งบ่งบอกตัวตนในเรื่องของโทนเสียงในแบบ Santana ได้เป็นอย่างดีและถือเป็นอัลบั้มหนึ่งที่ขายดีมากสำหรับทางวงอีกด้วย
ในช่วงยุค 80s และ 90s Santana ยังคงออกทัวร์ต่อเนื่องมาเรื่อยๆ แต่อัลบั้มของเขาก็ไม่ได้ขายดีเหมือนยุครุ่งเรืองหลังช่วง Woodstock อย่างไรก็ตามในปี 1999 เขาก็ร่วมมือกับเจ้าพ่อโปรดิวเซอร์อย่าง Clive Davis เพื่อทำอัลบั้ม Supernatural ขึ้นมา เป็นอัลบั้มแบบ all-star ที่รวบรวมศิลปินดังมาร่วมงานมากมายอย่างเช่น Lauryn Hill, Eric Clapton และ Dave Matthews อัลบั้มนี้กลับกลายเป็นอัลบั้มที่ดังระเบิดที่ต้องขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับ single ติดหูอย่าง "Smooth" ที่ได้ Rob Thomas นักร้องจากวง Matchbox 20 มาร้องในเพลง หลังจากผ่าน Woodstock มา 30 ปี Santana ก็กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง